ภาพ

ภาพ

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่ 4

บันทึกครั้งที่ 4

เนื้อหา/กิจกรรม 

         เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์

- เด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างน่ากลัว ควบคุมอารมณ์ให้ปกตินานๆไม่ได้
- เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
- ไม่สามารถอยู่กับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
     
          เด็กกลุ่มนี้แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ

1. เด็กที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์ เช่น เกิดเรื่่องที่กระทบต่อจิตใจของเด็ก
2. ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้

การที่จะคิดว่าเด็กมีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบดังนี้

- สภาพแวดล้อม
- ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล

ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก

- ไม่สามารถเรียนได้เช่นเด็กปกติ
- รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
- มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
- มีความคับข้องใจ เก็บกดอารมณ์
- แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย

         เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก และกำลังได้รับความสนใจจากทางการแพทย์ ทางจิตวิทยา และทางการศึกษา ได้แก่

                1. เด็กสมาธิสั้น   (Attention Deficit / Hyperactivity Disorder - ADHD) 


ลักษณะอาการ

1. อาการสมาธิสั้น (Inattention)
                                1) มีความยากลำบากในการตั้งสมาธิ
                                2) มักวอกแวกง่าย ตามสิ่งเร้าภายนอก
                                3) ดูเหมือนไม่ฟังเมื่อมีคนพูดด้วย
                                4) ทำตามคำสั่งไม่จบ หรือทำกิจกรรมไม่เสร็จ
                                5) หลีกเลี่ยงที่จะทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายาม
                                6) ละเลยในรายละเอียด หรือทำผิดด้วยความเลินเล่อ
                                7) มีความยากลำบากในการจัดระเบียบงานหรือกิจกรรม
                                8) ทำของหายบ่อยๆ
                                9) มักลืมกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำสม่ำเสมอ
 2. อาการอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)
                                1) ยุกยิก ขยับตัวไปมา
                                2) นั่งไม่ติดที่ มักต้องลุกเดินไปมา
                                3) มักวิ่งวุ่น หรือปีนป่าย ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม
                                4) ไม่สามารถเล่นเงียบๆได้
                                5) เคลื่อนไหวไปมา คล้ายติดเครื่องยนต์ตลอดเวลา
                                6) พูดมากเกินไป
3. อาการหุนหันพลันแล่น (Impulsiveness)
                                1) มีความยากลำบากในการรอคอย
                                2) พูดโพล่งขึ้นมา ก่อนถามจบ
                                3) ขัดจังหวะ หรือสอดแทรกผู้อื่น ในวงสนทนาหรือในการเล่น

สาเหตุ
                โรคสมาธิสั้น เกิดจากความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วน ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด คาดว่าเกิดจากสารเคมีในสมองบางชนิดไม่สมดุล เช่นdopamine, norepinephrine, serotonin ฯลฯ

ภาวะการเรียนบกพร่อง (Learning Disorders – LD)


สาเหตุของปัญหาการเรียน
     สติปัญญาบกพร่อง หรือปัญญาอ่อน (Mental Retardation)
     วิตกกังวล หรือซึมเศร้า (Anxiety or Depression)
     สมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder ADHD)
     ภาวะการเรียนบกพร่อง (Learning Disorder –LD)
     เจ็บป่วยเรื้อรัง (Chronic Illness)
     ขาดโอกาสทางการศึกษา
     ขาดแรงจูงใจ (Lack of Motivation)
     วิธีการสอนไม่เหมาะสม

 2. เด็กออทิสติก

            โรคออทิซึม (อังกฤษAutism) เป็นความผิดปกติในการเจริญของระบบประสาท โดยมีลักษณะเด่นคือความบกพร่องด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการสื่อสารและมีพฤติกรรมทำกิจกรรมบางอย่างซ้ำๆ   ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักเรียกกันว่าผู้ป่วยออทิสติก อาการแสดงดังกล่าวมักปรากฏในวัยเด็กก่อนอายุ 3 ปี


            ลักษณะของเด็กออทิสติก

- อยู่ในโลกของตัวเอง โลกส่วนตัวสูง
- ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
- ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
- ไม่ยอมพูด
- เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
- ยึดติดวัตถุที่ชอบหรือรัก คนอื่นมาแย่งหรือแตะต้องไม่ได้ 
- ต่อต้าน แสดงกิริยาอารมณ์รุนแรง ไร้เหตุผล
- มีท่าทีเหมือนคนหูหนวก
- ใช้วิธีการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการที่แตกต่างจากคนทั่วไป


เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Disabilities)


          ความพิการซ้อน (Multiple Disabilities) หมายถึง ความบกพร่องร่วมกันมากกว่า 1 ลักษณะที่เกิดขึ้นต่อบุคคล (Simultaneous impairments) อาทิเช่น บกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับตาบอด หรือบกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับความผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อ

          โดยปกติแล้ว สำหรับเด็ก ความซ้ำซ้อนเหล่านี้มักก่อให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้ เนื่องจากเด็กไม่สามารถเข้ารับการศึกษาพิเศษที่เหมาะสมต่อความบกพร่องทางใดทางหนึ่งเพียงอย่างเดียวได้
           เด็กพิการซ้อนมักมีปัญหาความผิดปกติที่หลากหลาย ซึ่งมักได้แก่ การพูด การเคลื่อนไหวร่างกาย การเรียนรู้ การมองเห็น การได้ยิน ความบกพร่องทางสติปัญญา เป็นต้น นอกจากนี้ เด็กยังอาจมีภาวะสูญเสียการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensory Losses) รวมทั้งมีปัญหาด้านพฤติกรรมและสังคม








เด็กปัญญาเลิศ (Gifted child) หรือเด็กอัจฉริยะ 

          คือเด็กที่มีระดับสติปัญญาสูงมาก (I.Q. อาจสูงถึง 130-140) เด็กกลุ่มนี้ก็จะดู คล้ายเด็กสมาธิสั้นเนื่องจากความที่เขาฉลาดมาก จึงมักมีความอยากรู้อยากเห็น มีพลังงานในตัวเองมาก นอกจากนี้เขาจะมีสมาธิดีมากใน เรื่องซึ่งตนเองสนใจ แต่ถ้าเรื่องไหนไม่อยู่ในความสนใจ ก็อาจไม่สนใจเลย จึงดูคล้ายเด็กสมาธิสั้นได้ แต่เรื่องไหนที่สนใจ เขาก็จะพยายามค้นคว้าจนมีความรู้เกินวัย ผู้เชี่ยวชาญบางท่านกำหนดเกณฑ์ของเด็กปัญญาเลิศ คือระดับสติปัญญาหรือไอคิว เกิน 130 บางท่านระดับความสามารถในการเรียน สูงกว่า 2 ชั้นปี
  
กิจกรรม

- คุณครูให้ดูวิดีโอของทีวีครู เรื่อง ห้องเรียนแรกของเด็กพิเศษ แล้วให้เขียนสรุปออกมาเป็นผังความคิดหรือ Mind Mapping ส่งท้ายชั่วโมงเรียน









วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่ 3 ( วันอังคาร ที่ 19 พฤศจิกายน 2556 )

บันทึกครั้งที่ 3

เนื้อหา/กิจกรรม

         เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments)
         เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ หมายถึง ผู้ที่มีอวัยวะไม่สมส่วน อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนหายไป กระดูกกล้ามเนื้อพิการ เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรงหรือเฉียบพลัน มีความพิการทางระบบประสาทสมอง มีความลาบากในการเคลื่อนไหวจนเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียน และการทากิจกรรมของเด็ก จาแนกได้ดังนี้

1. อาการบกพร่องทางร่างกาย ที่มักพบบ่อย ได้แก่

             1.1 ซีพี หรือ ซีรีบรัล พัลซี่ (C.P. : Cerebral Palsy) หมายถึง การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กาลังพัฒนาถูกทาลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน ที่พบส่วนใหญ่ คือ


             1.1.1 อัมพาตเกร็งของแขนขา หรือครึ่งซีก (Spastic)

             1.1.2 อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Athetoid) จะควบคุมการเคลื่อนไหวและบังคับให้ไปในทิศทางที่ต้องการไม่ได้

             1.1.3 อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia) การประสานงานของอวัยวะไม่ดี

             1.1.4 อัมพาตตึงแข็ง (Rigid) การเคลื่อนไหวแข็งช้า ร่างกายมีอาการสั่นกระตุกอย่างบังคับไม่ได้


             1.1.4 อัมพาตแบบผสม (Mixed)

             1.2 กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy) เกิดจากประสาทสมองที่ควบคุมส่วนของกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว โดยไม่ทราบสาเหตุ

             1.3 โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic) ที่พบบ่อย ได้แก่

             1.3.1 ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กาเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida) ทาให้เกิดความพิการของประสาทไขสันหลังส่วนนั้น ๆ สูญเสียความรู้สึกเจ็บปวด กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะไม่ได้ อาจมีน้าคั่งในสมอง และกระดูกเท้าพิการ เด็กประเภทนี้จะยืน เดินโดยใช้กายอุปกรณ์เสริม

             1.3.2 ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูก หลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง

             1.3.3 กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ มีความพิการเนื่องจากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือทันท่วงทีภายหลังได้รับบาดเจ็บ

             1.4 โปลิโอ (Poliomyelitis) เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกายทางปาก แล้วไปเจริญที่ต่อมน้าเหลืองในลาคอ ลาไส้เล็ก และเข้าสู่กระแสเลือดจนถึงระบบประสาทส่วนกลาง

             1.5 แขนขาด้วนแต่กาเนิด (Limb Deficiency) รวมถึงเด็กที่เกิดมาด้วยลักษณะของอวัยวะที่มีความเจริญเติบโตผิดปกติ เช่น นิ้วมือติดกัน 3-4 นิ้ว มีแค่แขนท่อนบนต่อกับนิ้วมือ ไม่มีข้อศอก

             1.6 โรคกระดูกอ่อน (Osteogenesis Imperfeta) เป็นผลทาให้เด็กไม่เจริญเติบโตสมวัย


2. ความบกพร่องทางสุขภาพ ที่มักพบบ่อย ได้แก่


    2.1 โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง ที่พบบ่อยมีดังนี้ คือ

           2.1.1 ลมบ้าหมู (Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชักจะทาให้หมดสติ และหมดความรู้สึก

           2.1.2 การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal) เป็นอาการชักชั่วระยะเวลาสั้น ๆ 5-10 วินาที


          2.1.3 การชักแบบรุนแรง (Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู่

           2.1.4 อาการชักแบบพาร์ชัล คอมเพล็กซ์ (Partial Complex) บางครั้้งเรียก ไซโคมอเตอร์ (Psychomotor) หรือเทมปอรัลโลบ (Temporal Lobe)


           2.1.5 อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial) เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทาอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก

      2.2 โรคระบบทางเดินหายใจโดยมีอาการเรื้อรังของโรคปอด (Asthma) เช่น หอบหืด วัณโรค ปอดบวม

      2.3 โรคเบาหวานในเด็ก เกิดจากร่างกายไม่สามารถใช้กลูโคสได้อย่างปกติ เพราะขาดอินซูลิน


      2.4 โรคข้ออักเสบรูมาตอย มีอาการปวดตามข้อเข่า ข้อเท้า ข้อศอก ข้อนิ้วมือ

      2.5 โรคศีรษะโตเนื่องจากน้าคั่งในสมอง ส่วนมากเป็นมาแต่กาเนิด ถ้าได้รับการวินิจฉัยโรคเร็วและรับการรักษาอย่างถูกต้องสภาพความพิการจะไม่รุนแรง


      2.6 โรคหัวใจ (Cardiac Conditions) ส่วนมากเป็นตั้งแต่กำเนิด


      2.7 โรคมะเร็ง (Cancer) ส่วนมากเป็นมะเร็งเม็ดโลหิต และเนื้องอกในดวงตา สมอง กระดูก และไต

      2.8 บาดเจ็บแล้วเลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)

เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)


      ความบกพร่องทางการพูดและภาษาสามารถจาแนกได้ดังนี้ คือ


      1. ความผิดปกติด้านการออกเสียง

         1.1 ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม เช่น พูดเสียงขึ้นจมูกเนื่องมาจากอิทธิพลของภาษาถิ่น



        1.2 เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคาโดยไม่จาเป็น

        1.3 เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาด  ออกเสียงเป็น  ฟาด


       2. ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น การพูดรัว การพูดติดอ่าง

       3. ความผิดปกติด้านเสียง

         3.1 ระดับเสียง เช่น การพูดเสียงสูงเกินไป ต่าเกินไป หรือพูดระดับเสียงเดียวกันหมด

         3.2 ความดัง เช่น พูดเสียงดังมาก หรือเบามากจนเกินไป

         3.3 คุณภาพของเสียง เช่น พูดเสียงแตกพร่า เสียงแหบ เสียงหอบ เสียงขึ้นจมูก เสียงแปร่ง


       4. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่าDysphasia หรือ aphasia ที่ควรรู้จักได้แก่

          4.1 Motor aphasia (Expressive หรือ Broca’s apasia) หมายถึงผู้ที่เข้าใจคาถาม หรือคาสั่ง แต่พูดไม่ได้ ออกเสียงลาบาก พูดช้า ๆ


         4.2 Wernicke’s aphasia (Sensory หรือ Receptive aphasia) หมายถึงผู้ที่ไม่เข้าใจคาถาม หรือคาสั่ง ได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย (word deafness)

         4.3 Conduction aphasia หมายถึงผู้ที่ออกเสียงได้ไม่ติดขัด เข้าใจคาถามดี แต่พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้

        4.4 Nominal aphasia (Anomic aphasia) หมายถึงผู้ที่ออกเสียงได้ เข้าใจคาถามดี พูดตามได้ แต่บอกชื่อวัตถุไม่ได้ เพราะลืมชื่อ


        4.5 Global aphasia หมายถึงผู้ที่ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน พูดไม่ได้เลย

        4.6 Sensory agraphia หมายถึงผู้ที่เขียนเองไม่ได้ เขียนตอบคาถามหรือเขียนชื่อวัตถุก็ไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstmann’s syndrome

        4.7 Motor agraphia หมายถึงผู้ที่ลอกตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ไม่ได้ และเขียนตามคาบอกไม่ได้ เพราะมี apraxia ของมือ

        4.8 Cortical alexia (Sensory alexia) หมายถึงผู้ที่อ่านไม่ออก เพราะไม่เข้าใจภาษา

        4.9 Motor alexia หมายถึงผู้ที่เห็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เข้าใจความหมาย แต่อ่านออกเสียงไม่ได้



        4.10 Gerstmann’s syndrome หมายถึงผู้ที่ไม่รู้ชื่อนิ้ว (finger agnosia) ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria) ทาคานวณไม่ได้ (acalculia) เขียนไม่ได้ (agraphia) อ่านไม่ออก (alexia)

        4.11 Visual agnosia หมายถึงผู้ที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บางทีบอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้ (finger agnosia)

        4.12 Auditory agnosia (word deafness) หมายถึงผู้ที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยินแต่แปลความหมายของคา หรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ





วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่ 2 (วันอังคาร ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2556)

บันทึกครั้งที่ 2 


เนื้อหา/กิจกรรมที่เรียน

วันนี้คุณครูได้สอนเกี่่ยวกับเรื่องความต้องการของเด็กพิเศษ ดังนี้

ความหมายของเด็กพิเศษ 

     1.ทางการแพทย์ มักเรียกว่า "คนพิการ"  หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย สติปัญญาและจิตใจ

     2. ทางการศึกษา ทางครูให้ความหมายว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือเด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติ ทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการใช้ และการประเมินผล

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
             
      1. กลุ่มเด็กที่มีความสามารถสูง (IQ สูง)

           - ไอคิว (IQ)  คนปกติ คือ ตั้้งแต่ 90 ถึง 120 ขึ้นไป
           -  มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกทั่วไปว่า เด็กปัญญาเลิศ
           -  เด็กที่มี ไอคิวสูง คือ ตั้งแต่ 120 ขี้นไป

      2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง

           - กระทรวงศึกษาธิการได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท แต่ในวันนี้คุณครูได้สอนไว้ 3 ประเภท คือ

                  1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
                  2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)
                  3. เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น (Children with Visual Impairments)

คำสำคัญ

    1. เด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Children with Special Needs)
    2. เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ (All Children can Learn!)
                  






วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่ 1

บันทึกการเรียนครั้งที่ 1





             วันนี้คุณครูได้ปฐมนิเทศ แนะแนวการสอนและวิธีการสอน จากนั้นก็ให้ทำแผนผังความคิด โดยให้นักศึกษาบอกความหมายของเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษในนิยามของนักศึกษาเอง จากนั้นก็ให้ตัวแทนออกไปนำเสนอแผนผังความคิดหน้าห้องเรียน ให้เพื่อนๆฟัง




แผนผังความคิดของฉัน



เพื่อนออกมานำเสนอแผนผังความคิดของตนเอง